รำลึก 5 ปี มรณกาล “หลวงปู่แสน ปสันโน” วัดบ้านหนองจิก จ.ศรีสะเกษ

รำลึก 5 ปี มรณกาล “หลวงปู่แสน ปสันโน” วัดบ้านหนองจิก ต.ภูฝ้าย อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ




วันพฤหัสบดีที่ 25 ก.ค.2567 น้อมรำลึกครบรอบ 5 ปี มรณกาล “หลวงปู่แสน ปสันโน” อดีตพระเกจิชื่อดังแห่งอีสานใต้ที่เล่าขานกันว่าทรงคุณวิทยาคมเข้มขลัง แห่งวัดบ้านหนองจิก ต.ภูฝ้าย อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ

วัตรปฏิบัติเคร่งครัดและเปี่ยมด้วยคุณธรรม เป็นที่พึ่งของชาวบ้านโดยทั่วไป ชื่อเสียงเป็นที่รับรู้กันทั่ว ได้รับสมญานาม เทพเจ้าแห่งเขาภูฝ้ายใกล้ชายแดนกัมพูชา

เป็นพระนักปฏิบัติ ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้คน บูรณะและพัฒนาศาสนสถานต่างๆ มาโดยตลอดจวบจนปัจจุบัน

มีนามเดิมชื่อ แสน คุ้มครอง เกิดบ้านโพรง ต.ไพรบึง อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ (ปัจจุบัน ต.ไพรบึง อ.ไพรบึง จ.ศรีสะเกษ) เมื่อวันที่ 11 ก.ย.2450 เป็นบุตรของพ่อเอี้ยง และแม่ผัน คุ้มครอง มีพี่น้องรวม 6 คน

เมื่อครั้นยังเด็ก เป็นลูกศิษย์อยู่ที่วัดบ้านโพรงและพี่ชาย ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านโพรงในสมัยนั้น ให้การเลี้ยงดู เรียนจบชั้น ป.4

ต่อมาได้บรรพชาที่วัดบ้านโพรง ได้ไปศึกษาเรียนหนังสือกับหลวงพ่อมุม วัดปราสาทเยอใต้ พระเกจิชื่อดัง ทั้งได้ศึกษาตำราพระเวทจากทั้งภาษาขอมและภาษาธรรมบาลีด้วย

เดินทางไปมาระหว่างบ้านปราสาทเยอใต้และบ้านโพรง

กระทั่งอายุ 21 ปี เข้าพิธีอุปสมบท และยังคงเรียนวิชากับพระอาจารย์มุมอย่างต่อเนื่อง

ครั้นอายุ 24 ปี ได้ลาสิกขาเพื่อมาช่วยงานทางบ้านที่มีฐานะยากจน ได้เป็น “หมอธรรม” (ภาษาพื้นบ้านอีสาน หมายถึงผู้เรียนคาถาอาคมทางพุทธเวทและไสยเวท อาจเป็นฆราวาส หรือพระภิกษุ ที่ปฏิบัติตัวอยู่ในคุณธรรม มีศีลมีธรรม และช่วยเหลือผู้คนในชุมชนจนเป็นที่เคารพนับถือ)

ยามเว้นว่างจากการทำเกษตรกรรม ก็ชักชวนเพื่อนหมอธรรมด้วยกันเดินทางไปกัมพูชา เพื่อศึกษาวิทยาคมเพิ่มเติม ได้พบพระผู้ใหญ่และพระอาจารย์จากฝั่งกัมพูชามากมาย โดยหลวงปู่จะเลือกเรียนเฉพาะวิชาที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือและรักษาผู้คนเท่านั้น

เมื่อหมดภาระทางบ้าน กลับเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้ง โดยไปจำพรรษาที่บ้านกุดเสล่า อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ แต่ยังคงปฏิบัติธุดงค์ มักออกธุดงค์ไปตามเทือกเขาพนมดงรักเป็นนิจ

ต่อมาหลวงตาวัน สหธรรมิกรุ่นน้องได้ไปกราบนิมนต์ให้มาช่วยสร้างวัด โดยเจ้าคณะอำเภอกันทรลักษ์ อนุญาตให้ไปอยู่ที่วัดอรุณสว่างวราราม (วัดบ้านกราม) แต่ด้วยรักสมถะ ปีต่อมาจึงได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์โนนไทย (วัดกูไทยสามัคคีในปัจจุบัน) อยู่ถึง 3 ปี

กระทั่งเห็นสภาพวัดบ้านหนองจิก ที่จะกลายเป็นวัดร้าง เนื่องจากมีพระภิกษุจำพรรษาน้อยและไม่มีผู้ดูแลพัฒนา จึงย้ายจากสำนักสงฆ์โนนไทย ไปจำพรรษาที่วัดบ้านหนองจิกและทำนุบำรุงวัดจนวัดมีพระ
เข้ามารับช่วงต่อ จำพรรษาอยู่เป็นเวลา 4 ปี โยมญาติจากวัดบ้านโพรง ที่บวชเป็นสามเณร เดินทางมานิมนต์ให้ไปจำพรรษาเพื่อช่วยพัฒนา

ซึ่งก็ได้รับความเมตตาไปจำพรรษาที่วัดบ้านโพรง ทำนุบำรุงวัดจนเจริญขึ้น

อายุย่างเข้า 93 ปี ดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสวัดในช่วงนั้น จนเมื่อหลวงปู่แสน อายุ 97 ปี ลูกหลานเป็นห่วงสุขภาพ จึงพาชาวบ้านไปนิมนต์กลับมาจำพรรษาที่วัดบ้านหนองจิก

การสร้างวัตถุมงคล ไม่ได้บ่อยนัก นานครั้งในวาระพิเศษ ส่วนใหญ่จะอนุญาตให้ศิษย์ใกล้ชิดสร้างขึ้นเป็นพิเศษ ทำให้วัตถุมงคลมีจำนวนไม่มากรุ่น แต่ได้รับความนิยมสูง อาทิ เหรียญเสมา รุ่นเจ้าสัวแสนนิยม, พระสมเด็จหล่อโบราณ รุ่นเจริญลาภ, พระกริ่งมหาโภคทรัพย์ เป็นต้น

ด้วยสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง ละสังขารอย่างสงบ เมื่อเวลา 22.24 น. คืนวันที่ 25 ก.ค.2562 ที่กุฏิภายในวัดบ้านหนองจิก อายุ 112 ปี

——-

ความคิดเห็น